For some ethnic points in English, this might be a post: http://www.alternet.org/stories/50698/?page=1
วันที่ 16 สิงหาคม 2550 หนังสือพิมพ์ลงข่าวนักศึกษามหาวิทยาลัย Virginia Tech ประเทศสหรัฐอเมริกาเสียชีวิตทันที 32 ศพ เนื่องจากมือปืนซึ่งเป็นนักศึกษาด้วยกัน ซึ่งภายหลังฆ่าตัวตายเป็นคนที่ 33 นอกจากนั้นยังมี ผู้บาดเจ็บอีกกว่า 20 คน เมื่อสถานการณ์สงบลง เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเเละเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าผู้ก่อเหตุคือนักเรียนปีสุดท้ายชาวเกาหลี ใช้ปืนพก Glock ขนาด 9 ม.ม. สองกระบอก พร้อมซองกระสุนสำรอง กราดยิงนักศึกษาร่วมมหาวิทยาลัย ในฐานะที่การฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้เป็นฆาตกรรมที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด เเม้ว่าการฆาตกรรมหมู่ในสถานศึกษาจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เเต่ก็ไม่มีครั้งใดที่มีจำนวนผู้บาดเจ็บเเละเสียชีวิตมากเท่านี้
การนำเสนอข่าวจากสื่อมวลชนต่างประเทศ ยกประเด็นที่สำคัญมาสองด้าน คือด้านมิติด้านมนุษย์/อาวุธ
ประเด็นเเรก เมื่อนักข่าวทราบตัวว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร ก็เกิดการทำข่างเจาะลึกถึงเบื้องหลังของผู้ก่อเหตุ ปัจจัยด้านเชื้อชาติ จิตวิทยา เเละหาร่องรอยของความ “ผิดปกติ” ที่ทำให้นักศึกษาผู้นี้กระทำการดังกล่าวขึ้นมา การค้นหาความป่วยไข้ของนักศึกษาผู้ก่อการ เริ่มจากการสัมภาษณ์เพื่อนร่วมหอพัก อาจารย์ที่สอนวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เเละบุคคลเเวดล้อมเท่าที่จะหาได้ ผลการค้นพบเเทบจะบ่งชี้ได้ทันทีว่านักศึกษาคนนี้ “ผิดปกติ” เพราะเขาเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ไม่พูดกับใคร เเละมักเขียนความเรียงที่ระบุถึงความรุนเเรง ต่อต้านสังคม เเละเหยียดนักศึกษาที่รวยเเละผู้หญิง จนอาจารย์ผู้สอนต้องเเนะนำให้ไปพบที่ปรึกษาที่ดูเเลด้านสุขภาพจิต เเละรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้า เเละเพื่อนๆ เองก็วิตกกังวลว่า เขาจะก่อเหตุรุนเเรงเช่นนี้สักวัน[1] นอกจากนี้ยังมีการเเสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด ว่าจริงๆ เเล้วยังมี “คนบ้า” อีกมากมายที่พร้อมจะทำอันตรายคนอื่น เเม้จะไม่มีปืนในมือ ก็จะหา “อาวุธอื่น” มาทำร้ายผู้คนจนได้ ดังนั้นจึงเสนอให้มีตรวจสอบประวัติ เพื่อให้เเน่ใจว่าคนผิดปกติทางจิต จะไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อเเละครอบครองอาวุธปืน [2]
เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจดูใบเสร็จรับเงินจากร้านค้าที่ขายปืนให้กับเขา เเละระบุผู้ขายได้ นักข่าวจึงสัมภาษณ์ผู้ขายอาวุธให้กับเขา เเละพบว่า
จอห์น มาร์เคลล์ เจ้าของร้าน Roanoke Firearms กล่าวว่า ร้านของเขาขายปืนพก Glock เเละกระสุนซ้อมกล่องหนึ่งให้นักศึกษาผู้ก่อเหตุ เมื่อ 36 วันที่เเล้วในราคา 571 เหรียญสหรัฐ
“เขาเป็นเด็กดี ดูเรียบร้อย เราจะไม่ขายปืนให้ ถ้าเราคิดว่า การซื้อมีเลศนัย [3] ”
ประเด็นที่สอง นักข่าวเเละสำนักข่าวจำนวนไม่น้อย รายงานข่าวเรื่องการควบคุมอาวุธปืนในสังคม ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานานในสังคมอเมริกา โดยเปรียบเทียบอัตราการฆาตกรรมระหว่างประเทศพัฒนา เเล้วที่มีการควบคุมอาวุธปืน กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งการซื้อเเละครอบครองอาวุธปืน เป็นสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ กระเเสควบคุมอาวุธเอง ก็ได้รับการต่อต้านจากกลุ่มนักล็อบบี้ของสมาคมปืนไรเฟิลเเห่งชาติ (National Rifle Association: NRA) ข่าวกลุ่มนี้มักเสนอว่า “สังคมที่มีปืนเกลื่อนกลาด เเละเข้าถึงได้ง่าย ย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้กับการใช้อาวุธปืนมากขึ้น” [4]
ข่าวทั้งสองเเง่นำเสนอความป่วยไข้ของคน เเละสังคม จากมุมมองของ “อุปลักษณ์สุขภาพ” ของความป่วยไข้ ของสังคมที่อาจสะท้อนมาในร่างกายของปัจเจก (ภาษาไทยโปรดดู ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ [5]) มุมมองเช่นนี้มักจะค้นหาร่องรอยของความ “ผิดปกติ” ที่ไม่ลงรอยกับความคาดหวังของสังคม เพื่อสืบสาวไปถึงโครงสร้างทางสังคมที่ “หล่อหลอม” เเละวัฒนธรรมที่รองรับเเละสร้างที่ฟักตัวของความป่วยไข้นั้น
ความป่วยไข้ของผู้ก่อการรายล่าสุด จากมุมมองของเพื่อนนักศึกษา เห็นว่านักศึกษาที่ก่อเหตุในกรณีน้ี เเละกรณีอื่นๆ สามารถอยู่ในสังคมได้ ไม่ได้หลุดมาจากโรงพยาบาลบ้า สามารถทำตัวดูเหมือนคนปกติ “เป็นเด็กดี เเละดูเรียบร้อย” ไปซื้ออาวุธได้โดยผู้ขายไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจเเละสงสัย เเละน่าจะสามารถผ่านการทดสอบการคัดกรอง “คนปกติ” ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะครอบครองอาวุธได้ อาการบ่งชี้ความป่วยไข้ ที่นำเสนอในข่าวว่าเป็น คนที่ชอบเขียนบทความที่ส่อ เเสดงการนิยมรุนเเรง เเละ การใช้ยาเเก้ซึมเศร้า ก็เป็นประเด็นที่ไม่ได้อยู่ในการพิจารณาความเหมาะสมในการซื้อเเละครอบครองอาวุธ ทั้งการใช้ยาเเเก้ซึมเศร้าก็เเทบจะเป็นเรื่องปกติในสังคมอเมริกัน ที่อารมณ์ไม่พึงประสงค์ต่างๆ สามารถควบคุมได้โดยการใช้ยา อุปลักษณ์ความ ”ป่วยไข้” เเบบคาบเส้นเเละไม่่เเสดงอาการในบางพื้นที่ ของนักศึกษาผู้นี้ จึงไม่ใช่ความป่วยไข้ที่เเสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้เขาถูกส่งเข้าสถานบำบัด หรือทำให้เจ้าของร้านปฏิเสธที่จะขายอาวุธให้ การวัดอาการป่วยไข้ที่ไม่ได้เเสดงออกทางร่างกาย จึงไม่สามารถวัดได้ที่ท่าทาง กริยา หรือหน้าตา หรือเเม้กระทั่งการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
ปัญหาของการสร้างเกณฑ์การตัดกรองผู้ที่เหมาะสมในการครอบครองอาวุธปืน ก็คือ ร่างที่ป่วยไข้มักจะไม่เเสดงออกในลักษณะ “ผู้ร้ายโรคจิต” ที่เห็นในภาพยนตร์ เเละความป่วยไข้ของบุคคล ก็มักจะถูกโยนให้เป็นภาระของ “ครอบครัว” เป็นอันดับเเรก ครอบครัวจะถูกขุดคุ้ย วิจัย สำรวจ ว่าได้บ่มเพาะ “ฆาตกร” มาอย่างไร เป็นความจริงที่ว่าบางครอบครัวมีสภาพเหมาะกับสูตรสำเร็จของ “บ้านสร้างนักฆ่า” เเต่บางครอบครัวอาจจะไม่ตรงตามสูตรดังกล่าว ขึ้นอยู่กับเเว่นเเละวิธีวิทยาของผู้มอง ในขณะที่ครอบครัวอาจจะไม่สังเกตเห็นความป่วยไข้ ที่อาจเกิดในพื้นที่อื่นๆ เช่นที่โรงเรียน ที่ทำงาน เป็นต้น คนที่มีท่าทางรักสงบ เป็นปกติในที่หนึ่ง อาจจะเป็นคนชอบใช้ความรุนเเรงในอีกที่หนึ่งก็ได้
การสร้างภาพเหมารวม ตายตัว ของสังคม ครอบครัว เเละวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มที่ “บ่มเพาะ”คนเหล่านั้น เป็น “สูตรสำเร็จ” เช่น สูตรสำเร็จของนักเรียน/ นักศึกษาที่คว้าอาวุธมายิงกราดเพื่อนร่วมสถาบันด้วยกัน มักถูกสรุป เเละลดทอนว่า เป็นคนเงียบๆ เก็บตัว มีพฤติกรรม รุนเเรง มาจากพื้นเพยากจน และเป็นคนกลุ่มน้อย หรือชายขอบในสังคม หากการวิเคราะห์หยุดลงเพียงเท่านี้ ก็เท่ากับละเลยร่างทางสังคม เเละวัฒนธรรม ที่ป่วยไข้ เเน่นอนว่าหากสังคมมีร่างทางสังคม/วัฒนธรรม คำว่า “ร่าง” น่าจะเป็นพหูพจน์ มีร่างหรือพื้นที่ทางสังคมที่ ”สุขภาพดี” ปะปนกับร่างที่มี “สุขภาพเสื่อมโทรม” อันเป็นบ่อเกิดเเห่งโรค สังคมสามารถดำเนินกับร่างที่เจ็บป่วยได้หลายรูปแบบ ทั้งรักษา โอบอุ้ม เเละผลักไส
ด้วยความกลัวว่าจะเกิดปฏิกริยาต่อผู้คนที่ร่วมร่างทางสังคมของความเป็น “เกาหลี” ในอเมริกา หลังเกิดเหตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้ได้ออกมาเเถลงว่า “เหตุการณ์นี้คงไม่ก่อให้เกิดอคติเเละการเผชิญหน้าทางเชื้อชาติ [6] ”
เเล้วร่างทางสังคมเเละวัฒนธรรมเเบบใดที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำเเล้วซ้ำเล่าเป็นประจำเเทบทุกปี สำนักข่าวเอพี สรุปว่า
ในขณะที่บางคนโทษผู้ยิง ทัศนคติจากทั่วโลกต่อกฎหมายอาวุธปืนในสังคมอเมริกันสะท้อนว่า การเข้าถึงปืนเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะใช้ปืน ไม่มีใครเห็นด้วยกับข้อเสนอว่า หากมีปืนมากขึ้น นักศึกษาน่าจะไม่เสียชีวิตมากขนาดนี้ เพราะนักศึกษาอาจใช้ปืนยิงสกัดผู้ก่อเหตุก่อนได้
ข่าวเดียวกันเสนอว่าหนังสือพิมพ์ในเม็กซิโกพาดหัวว่า “อเมริกา [ตาย] 33 เม็กซิโก [แก๊งค์ค้ายายิงกัน ตายเเค่] 20” [7]
ร่างทางสังคมเเบบไหนที่ทำให้อเมริกา “ชนะขาด” ในพาดหัวข่าวนี้ บรรดานักเรียน นักศึกษา ที่ยิงเพื่อนร่วมสถานศึกษาอาจจะ “ป่วย” มาจากครอบครัว “ไม่สมบูรณ์” เเละสังคมที่ “กีดกัน ดูถูก เหยียดหยาม ความเป็นอื่น” พวกเขาอาจเป็น “ฆาตกรวัยรุ่น” ที่เชื่อใน “ความรุนเเรง” ในฐานะ “การยืนยันอัตลักษณ์เพศชาย”
เเล้วเราจะเรียกสังคมท่ีสามารถซื้อปืนได้ใน ห้างสรรพสินค้าราวกับว่าเป็น “warmart [sic.]” มีวุฒิสมาชิกที่บอกทันทีว่า “อย่าเพิ่งรีบตัดสินเรื่องเเก้กฎหมายอาวุธให้เข้มงวด ” [8] มีกลุ่มล็อบบี้เพื่อรักษาเสรีภาพในการครอบครองอาวุธ เเละต่อต้านการตั้งข้อจำกัดใดๆ ก็ตาม ที่รัฐธรรมนูญรองรับ ราวกับว่าสังคมยังไม่ก้าวพ้นยุค “สภาพธรรมชาติ” หรือ ยุคไร้กฎหมาย ว่าเป็นสังคม “ป่วยคาบเส้น” ได้หรือไม่
ร่างทางสังคมที่ “ป่วยคาบเส้น” นี้มีมายาคติว่า “ปืนไม่ได้ฆ่าคน เเต่คนนั่นเเหละที่ฆ่าคนกันเอง” หรือ “ปืนไม่ผิด คน [ป่วยทางจิต] ผิด” ทำให้ไม่สามารถมองข้ามความเชื่อมโยงระหว่างสังคม เเละวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการใช้ความรุนเเรง มองข้ามกลไกทางการค้าที่ทำให้เครื่องมือช่วยให้ความรุนเเรงบรรลุผลได้ง่ายขึ้น รุนเเรง มากขึ้น เเละหาได้ง่ายขึ้น
การลดทอนเเละผลักไส คนที่ใช้ปืนก่อเหตุเป็น “คนบ้า/ ป่วย/ สติไม่ดี”มาจากครอบครัวยากจน เป็นคนชายขอบ จากร่างทางสังคมของชนชั้นที่ป่วยไข้ ก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เเต่หากเราหยุดเท่านั้น การสร้างอุปลักษณ์ความป่วยไข้ของบุคคลเเละครอบครัวธำรงสถานะของคนที่ผลิตปืน เจ้าของโรงงานผลิตอาวุธ เเละกลุ่มผลประโยชน์ ให้เป็นคนที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปะชัญญะ เป็นร่างกายที่สมบูรณ์ของสังคม โดยไม่มีใครตั้งคำถามกับอาการ “ป่วยคาบเส้นทางจิต” ที่มองไม่เห็น เเต่กำลังเเพร่ระบาดเเละส่งผลกระทบไปทั่วทั้งสังคม ของคนกลุ่มนี้ ที่น่าจะกำลังเตรียมเเคมเปญ “ซื้อปืนป้องกันตัว เพราะสังคมไม่ปลอดภัย” เพิ่มยอดขายกันอีกครั้งหนึ่ง เเทน ที่จะวางมือจากผลประโยชน์บ้าง เเล้วหันมาเยียวยาความป่วยไข้ของคน สังคมเเละวัฒนธรรม ให้ปลอดภัย
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ติดอาวุธเพื่อเยียวยาสถานการณ์ในภาคใต้ ประเทศไทยคงจะตามเทรนด์นี้ไปติดๆ Read the rest of this entry »
Filed under: Security